นักดนตรีไทยผู้มีฝีมือในสมัยก่อน ย่อมมีเครื่องดนตรีประจำตัวของตนเอง ซึ่งถือได้ว่า เป็นดั่งอาวุธข้างกาย แต่ละคนจึงสรรหาวัสดุที่ดีที่สุดมาประกอบเป็นเครื่องดนตรี เพื่อใช้ในการสร้างสรรบทเพลงอันไพเราะ ให้แก่ผู้มีดนตรีการทั้งหลายได้ชื่นชม
เครื่องดนตรีเหล่านี้ล้วนเป็นความทรงจำของเหล่าศิลปินทางดนตรี ซึ่งก็คือครูดนตรีผู้มากด้วยฝีมือเสียชีวิตไป ชื่อเครื่องดนตรีที่ใช้ในการอวดฝีมือ ก็เลือนหายไปด้วย ฉายาเครื่องดนตรีเหล่านี้ เท่าที่มีการกล่าวขานกัน ได้แก่
ซอสายฟ้าฟาด ซอสามสาย คู่พระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ลันเกล้ารัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ทรงพระสุบิน (เล่ากันมาว่า คืนวันหนึ่งว่างพระราชกิจจึงทรงสีซอสามสายคู่พระหัตถ์อยู่จนดึกเมื่อเสด็จเข้าบรรทม ได้ทรงพระสุบินว่า ได้เสด็จไปยังรมณียสถานอันงดงามแห่งหนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์ลอยเข้ามาใกล้พระองค์และในขณะเดียวกัน ก็ทรงได้ยินเสียงดนตรีดังมาในอากาศ เป็นดนตรีทิพย์ที่ไพเราะจับพระราชหฤทัยยิ่ง แล้วดวงจันทร์ค่อยๆ เลื่อนลอยหายออกไป พร้อมกับเสียงเพลงก็ค่อยๆลอยหายออกไป แม้เสด็จตื่นบรรทมแล้วเสียงเพลงนั้นก็ยังติดพระราชหฤทัยอยู่ ) และทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงอมตะอันลือลั่น คือ ‘บุหลันลอยเลื่อน’
ตัวอย่างซอสามสาย
ซอตุ่น เป็นซออู้ ( ซอสองสาย )ขนาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวลันเกล้ารัชกาลที่ 7 พระองค์ทรงใช้ ซอตุ่น พระราชนิพนธ์เพลง ‘ ราตรีประดับดาว ’ ขึ้นเป็นเพลงแรกและพระราชทานชื่อซอคันนี้ว่า ซอตุ่น ซึ่งหมายถึงซอขนาดเล็ก ()
ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณนรุจ สุขจิตและ ปิยธิดา เค้ามูลคดีผู้ค้นคว้าและเรียบเรียงในรายการคุยกับดนตรี สถานีวิทยุจุฬา
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี